นางพรรณี บุตรี เลขที่ 53
ป.บัณฑิต การบริหารการศึกษา รุ่น 8
1. ท่านสามารถประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศในองค์กรของท่านได้อย่างไร บอกกรอบความคิด
ขั้นตอนผลกระทบให้เห็นกระบวนการคิดของท่านทั้งระบบ
ตอบ โรงเรียนข้าพเจ้าสามารถนำระบบสารสนเทศมาประยุกต์ใช้กับองค์กร เพื่อช่วยในการปฏิบัติงาน
ของบุคลากรและเป็นเครื่องมือสำหรับการบริหารและการตัดสินใจระบบสารสนเทศทุกระบบจะต้อง
มีข้อมูลนำเข้าประมวลผลและให้ผลลัพธ์ที่เป็นสารสนเทศที่มีประโยชน์ต่อองค์กร
- กรอบแนวความคิด ขั้นตอนผลกระทบต่อการนำระบบสารสนเทศมา ประยุกต์ใช้ในองค์กรก่อนอื่น
ข้าพเจ้าขอกล่าวถึงระบบสารสนเทศเพื่อการ จัดการ ( Management-Information
System ) มี
- วัตถุประสงค์หลัก : ควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติการและสรุปสภาพการณ์
- ข้อมูลนำเข้า : ข้อมูลจากการรายงานกิจกรรมและจากแต่ละขอบเขตการบริหารในองค์กรตัวแบบไม่
ซับซ้อน
- สารสนเทศผลลัพธ์ : รายงานสรุป รายงานสิ่งสกปกติสารสนเทศที่มีโครงสร้าง
- ผู้ใช้ : ผู้บริหาร
- รูปแบบของการตัดสินใจ : มีโครงสร้างแน่นอน
- การใช้ข้อมูลสนับสนุน : ข้อมูลสนับสนุนตามรูปแบบและระยะเวลาที่กำหนด
- ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นว่า การที่นำระบบสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้กับการ ปฏิบัติงานใน องค์กร
เพื่อให้การบริหารจัดการองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบสารสนเทศที่นำมาใช้ในการจัดเก็บข้อมูลและจัดทำอย่างเป็นระบบ เพื่อสะดวกในการใช้งาน
ซึ่งมีข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น
1. สารสนเทศด้านโรงเรียน เช่น ข้อมูลประวัติโรงเรียน
2. สารสนเทศด้านบุคลากร เช่น ข้อมูลประวัติบุคลากร ข้อมูลจำนวนบุคลากร
3. สารสนเทศด้านงบประมาณ ได้แก่ ภาพรวมงบประมาณ ภาพรวมยุทธศาสตร์สรุปจำนวนโครงการ
สรุปจำนวนกิจกรรม ติดตามแผนการดำเนินงาน
4. สารสนเทศด้านพัสดุและครุภัณฑ์ ได้แก่
- ทะเบียนทรัพย์สินตามปีงบประมาณ
- อาคารและ สิ่งปลูกสร้าง
- สรุปจำนวนการสั่งซื้อ
- รายงานจำนวนครุภัณฑ์แต่ละประเภท
5. สารสนเทศด้านการเงินและบัญชี ได้แก่
- งบการเงินของโรงเรียน
- รายได้ค่าใช้จ่ายของโรงเรียน
6. สารสนเทศด้านการจัดการศึกษา ได้แก่
- จำนวนนักเรียนทั้งหมด
- จำนวนนักเรียนย้ายเข้า ย้ายออก
- จำนวนนักเรียนประจำปีการศึกษา
7. สารสนเทศด้านกลไกประกันคุณภาพ ได้แก่
- ข้อมูลการประเมินตนเอง
- รายงานตัวบ่งชี้วัด
- สรุปตัวบ่งชี้ประกันคุณภาพ
- S A R
8. สารสนเทศด้านงานบริหารโรงเรียน ได้แก่
- ข้อมูลการใช้ยานพาหนะ
- แสดงหนังสือเข้า และออก
- รายงานติดตามหนังสือเข้าและออก
- สถิติการใช้ห้องปฏิบัติการ / ห้องประกอบการ
- สรุปหนังสือรับส่ง
- สรุปการใช้รถยนต์ ผลกระทบในการใช้ระบบสารสนเทศในองค์กร
- กรณีเครือข่ายล่ม ไม่สามารถใช้งานได้ในขณะนั้น ทำให้การปฏิบัติล่าช้าหรือ ไม่ทันเวลา ฉะนั้น
องค์กรควรเตรียมรองรับปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ โดยสำรองข้อมูล ทุกๆด้านของโรงเรียนลงในแผ่น
C D หรือ Flash Driver เพื่อเป็นการ เก็บข้อมูลให้คงอยู่เหมือนเดิมและสามารถใช้งาน
ได้ทันทีเมื่อต้องการข้อมูลเหล่านั้น
......................................................................
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ข้อสอบนวัตกรรมและสารสนเทศข้อ 2
ข้อ 2 . ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการจัดทำแผนแม่บทด้าน ไอซีที ( I C T ) ฉบับที่ 2 ของรัฐบาล
ไทย จงสังเคราะห์ความรู้จากแผนแม่บทมาเป็น คำอรรถาธิบายให้แจ้งชัด
ตอบ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับการจัดทำแผนแม่บทด้านไอซีที ( I C T ) ฉบับที่ 2 ของ รัฐบาลไทย จากการ
สังเคราะห์ความรู้จากแผนแม่บทว่าด้วย 6 ยุทธศาสตร์ แยกรายละเอียดของแต่ละ ยุทธศาสตร์ ดังนี้
- ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนากำลังคนด้าน ICTและบุคคลทั่วไปให้มีความสามารถ ในการ สร้างสรรค์
ผลิต และใช้สารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณและรู้เท่าทันมีสาระสำคัญ เพื่อเร่งพัฒนากำลัง คนที่มีคุณภาพ
และปริมาณเพียงพอที่จะรองรับการพัฒนาประเทศสู่สังคม ฐานความรู้และนวัตกรรม ก่อให้เกิดประโยชน์
แก่ตนเองและสังคมโดยรวม โดยมีมาตรการที่ สำคัญแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. การพัฒนาบุคลากรเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ( ICT Pro- fessional )
1.1 ) พัฒนาผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาให้มีทักษะ และคุณภาพตรง กับความ
ต้องการของภาคอุตสาหกรรม
1.2 ) พัฒนาบุคลากร ICT ที่ปฏิบัติงานในภาคอุตสาหกรรมอยู่ในปัจจุบัน ( ICT - Work-
force )
2. การพัฒนาบุคลกรในสาขาวิชาชีพอื่น ๆ และบุคคลทั่วไปประกอบด้วย
2.1) ส่งเสริมให้มีการนำ ICT มาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนในการศึกษาในระบบ ทุกระดับ
ชั้นมากขึ้น แต่มุ่งเน้นที่การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นสำคัญ โดย พัฒนาทักษะด้าน ICT ให้แก่ ครู ควบคู่ไป
กับการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนที่ เน้นการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาโดยใช้
ICT
2.2) พัฒนาการเรียนรู้ ICT เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยจัด ให้มีแหล่งเรียนรู้ ICT ของ
ชุมชนที่มีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่หลากหลาย
2.3 ) พัฒนาการเรียนรู้ ICT แก่แรงงานในสถานประกอบการ เพื่อให้ สามารถใช้ประโยชน์จาก
ICT ในการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการ ทำงานรวมถึงส่งเสริมการพัฒนาระบบ
E Learning สำหรับการเรียน ICT
2.4 ) พัฒนาการเรียน ICT แก่ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการและผู้สูงอายุรวม ถึงการทำวิจัยและพัฒนา
เทคโนโลยีสำหรับผู้พิการและการฝึกอบรมความรู้ด้าน ICT แก่ผู้สูงอายุ
2.5 ) พัฒนาความรู้และทักษะด้าน ICT แก่บุคคลภาครัฐรวมถึงการจัด ตั้งสถาบันพัฒนาความ รู้
ความสามารถด้าน ICT ให้แก่บุคคลภาครัฐทั้งนี้ให้มีแรงจูงใจ ค่อตอบแทนและโอกาสความก้าวหน้า
ในการทำงานที่เหมาะสม
3. มาตรการสนับสนุนอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างการพัฒนา “ คน ” ในวงกว้าง เช่นการพัฒนาระบบฐาน
ข้อมูลกำลังคนด้าน ICT ของประเทศเพื่อประกอบการวาง แผนการพัฒนากำลังคน ส่งเสริมสมาคม
ชมรม เครือข่ายส่งเสริมการใช้ ICT อย่าง สร้างสรรค์ เป็นต้น
- ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การบริหารจัดการระบบ ICT ระดับชาติอย่างมีธรรมาภิบาล ( National
ICT Governance ) โดยเน้นความเป็นเอกภาพ การใช้ทรัพยากร อย่าง คุ้มค่าและการมี
ส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโดยมีมาตรการ 4 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารและการจัดการ ICT ระดับชาติ
2. ปรับปรุงกระบวนการจัดทำ เสนองบประมาณและกระบวนการพิจารณา จัดสรร งบประมาณ ด้าน
ICT ของรัฐ
3. พัฒนาหรือปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องรวมถึงกลไกการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้ เอื้อ
ต่อการใช้ ICT และการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
4. ปรับปรุงระบบรากฐานข้อมูลตัวชี้วัดสถานภาพการพัฒนา ICT ของประเทศ
- ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศ มุ่งเน้นการลดปัญหา ความ
เหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเพื่อทำให้สังคมมีความ สงบสุขและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
โดยมีมาตรการที่สำคัญ 4 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. ขยายประเภทบริการ เพิ่มพื้นที่ให้บริการและปรับปรุงประสิทธิภาพของเครือข่าย โทรคมนาคม
2. เร่งรัดการสร้างความมั่นคงของระบบสารสนเทศ ( Information Security )
3. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ICT เพื่อยกระดับการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน
4. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สารสนเทศสำหรับบริการภาคสังคมที่สำคัญ
5. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดเครือข่ายและทรัพยากร
- ยุทธศาสตร์ที่ 4 : การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนการ สร้างธรรมา-
ภิบาลในการบริหารและการบริการของภาครัฐ (e - Governance) มี มาตรการสำคัญ
ประกอบ ด้วย 1. สร้างความเข้มแข็งของหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบการกำหนดกรอบแนวทาง
ปฏิบัติและมาตร- ฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาบริการอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐบาลแบบบูรณาการ
- ยุทธศาสตร์ที่ 5 : ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาห กรรม I C T สร้างมูล ค่า
ทางเศรษฐกิจและรายได้เข้าประเทศ - มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของ
ผู้ประกอบการ I C T ไทยโดย มุ่งเน้นการสร้างงานวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมภายในประเทศทั้ง
จากหน่วย งานภาครัฐภาคการศึกษา และภาคเอกชนมาตรการสำคัญของยุทธศาสตร์นี้ประกอบด้วย
1. การสนับสนุนด้านเงินทุน เงินช่วยเหลือเพื่อส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบ การรายใหม่
2. การยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการ I C T ไทยสู่ระดับสากล
3. การสร้างโอกาสทางการตลาดและโอกาสในการแข่งขันสำหรับผู้ประกอบ การไทย
4. การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมI CTทั้งภายในประเทศและจาก ต่างประเทศ
- ยุทธศาสตร์ที่ 6 : การใช้ I C T เพื่อสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการ แข่งขันอย่าง
ยั่งยืน - มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมภาคการผลิตของประเทศไทยให้เข้าถึงและสามารถ ใช้
ประโยชน์ จาก I C T เพื่อก้าวไปสู่การผลิตและการค้ากับการบริการมีมาตรการ ที่สำคัญ
ประกอบด้วย
1. สร้างความตระหนักและพัฒนาขีดความสามารถด้าน I C T ของผู้ประกอบการ
2. เสริมสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
3. ส่งเสริมการนำ ICTมาใช้ในภาคการผลิตและบริการที่เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ
4. ยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ( s M E s )
และวิสาหกิจชุมชน
5. ส่งเสริมการนำ I C T มาใช้ในมาตรการการประหยัดพลังงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มขีด
ความสามารถในการแข่งขันทั้งในระดับองค์กรและประเทศอย่างยั่งยืน
..........................................................................................
ไทย จงสังเคราะห์ความรู้จากแผนแม่บทมาเป็น คำอรรถาธิบายให้แจ้งชัด
ตอบ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับการจัดทำแผนแม่บทด้านไอซีที ( I C T ) ฉบับที่ 2 ของ รัฐบาลไทย จากการ
สังเคราะห์ความรู้จากแผนแม่บทว่าด้วย 6 ยุทธศาสตร์ แยกรายละเอียดของแต่ละ ยุทธศาสตร์ ดังนี้
- ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนากำลังคนด้าน ICTและบุคคลทั่วไปให้มีความสามารถ ในการ สร้างสรรค์
ผลิต และใช้สารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณและรู้เท่าทันมีสาระสำคัญ เพื่อเร่งพัฒนากำลัง คนที่มีคุณภาพ
และปริมาณเพียงพอที่จะรองรับการพัฒนาประเทศสู่สังคม ฐานความรู้และนวัตกรรม ก่อให้เกิดประโยชน์
แก่ตนเองและสังคมโดยรวม โดยมีมาตรการที่ สำคัญแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. การพัฒนาบุคลากรเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ( ICT Pro- fessional )
1.1 ) พัฒนาผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาให้มีทักษะ และคุณภาพตรง กับความ
ต้องการของภาคอุตสาหกรรม
1.2 ) พัฒนาบุคลากร ICT ที่ปฏิบัติงานในภาคอุตสาหกรรมอยู่ในปัจจุบัน ( ICT - Work-
force )
2. การพัฒนาบุคลกรในสาขาวิชาชีพอื่น ๆ และบุคคลทั่วไปประกอบด้วย
2.1) ส่งเสริมให้มีการนำ ICT มาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนในการศึกษาในระบบ ทุกระดับ
ชั้นมากขึ้น แต่มุ่งเน้นที่การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นสำคัญ โดย พัฒนาทักษะด้าน ICT ให้แก่ ครู ควบคู่ไป
กับการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนที่ เน้นการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาโดยใช้
ICT
2.2) พัฒนาการเรียนรู้ ICT เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยจัด ให้มีแหล่งเรียนรู้ ICT ของ
ชุมชนที่มีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่หลากหลาย
2.3 ) พัฒนาการเรียนรู้ ICT แก่แรงงานในสถานประกอบการ เพื่อให้ สามารถใช้ประโยชน์จาก
ICT ในการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการ ทำงานรวมถึงส่งเสริมการพัฒนาระบบ
E Learning สำหรับการเรียน ICT
2.4 ) พัฒนาการเรียน ICT แก่ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการและผู้สูงอายุรวม ถึงการทำวิจัยและพัฒนา
เทคโนโลยีสำหรับผู้พิการและการฝึกอบรมความรู้ด้าน ICT แก่ผู้สูงอายุ
2.5 ) พัฒนาความรู้และทักษะด้าน ICT แก่บุคคลภาครัฐรวมถึงการจัด ตั้งสถาบันพัฒนาความ รู้
ความสามารถด้าน ICT ให้แก่บุคคลภาครัฐทั้งนี้ให้มีแรงจูงใจ ค่อตอบแทนและโอกาสความก้าวหน้า
ในการทำงานที่เหมาะสม
3. มาตรการสนับสนุนอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างการพัฒนา “ คน ” ในวงกว้าง เช่นการพัฒนาระบบฐาน
ข้อมูลกำลังคนด้าน ICT ของประเทศเพื่อประกอบการวาง แผนการพัฒนากำลังคน ส่งเสริมสมาคม
ชมรม เครือข่ายส่งเสริมการใช้ ICT อย่าง สร้างสรรค์ เป็นต้น
- ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การบริหารจัดการระบบ ICT ระดับชาติอย่างมีธรรมาภิบาล ( National
ICT Governance ) โดยเน้นความเป็นเอกภาพ การใช้ทรัพยากร อย่าง คุ้มค่าและการมี
ส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโดยมีมาตรการ 4 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารและการจัดการ ICT ระดับชาติ
2. ปรับปรุงกระบวนการจัดทำ เสนองบประมาณและกระบวนการพิจารณา จัดสรร งบประมาณ ด้าน
ICT ของรัฐ
3. พัฒนาหรือปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องรวมถึงกลไกการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้ เอื้อ
ต่อการใช้ ICT และการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
4. ปรับปรุงระบบรากฐานข้อมูลตัวชี้วัดสถานภาพการพัฒนา ICT ของประเทศ
- ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศ มุ่งเน้นการลดปัญหา ความ
เหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเพื่อทำให้สังคมมีความ สงบสุขและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
โดยมีมาตรการที่สำคัญ 4 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. ขยายประเภทบริการ เพิ่มพื้นที่ให้บริการและปรับปรุงประสิทธิภาพของเครือข่าย โทรคมนาคม
2. เร่งรัดการสร้างความมั่นคงของระบบสารสนเทศ ( Information Security )
3. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ICT เพื่อยกระดับการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน
4. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สารสนเทศสำหรับบริการภาคสังคมที่สำคัญ
5. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดเครือข่ายและทรัพยากร
- ยุทธศาสตร์ที่ 4 : การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนการ สร้างธรรมา-
ภิบาลในการบริหารและการบริการของภาครัฐ (e - Governance) มี มาตรการสำคัญ
ประกอบ ด้วย 1. สร้างความเข้มแข็งของหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบการกำหนดกรอบแนวทาง
ปฏิบัติและมาตร- ฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาบริการอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐบาลแบบบูรณาการ
- ยุทธศาสตร์ที่ 5 : ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาห กรรม I C T สร้างมูล ค่า
ทางเศรษฐกิจและรายได้เข้าประเทศ - มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของ
ผู้ประกอบการ I C T ไทยโดย มุ่งเน้นการสร้างงานวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมภายในประเทศทั้ง
จากหน่วย งานภาครัฐภาคการศึกษา และภาคเอกชนมาตรการสำคัญของยุทธศาสตร์นี้ประกอบด้วย
1. การสนับสนุนด้านเงินทุน เงินช่วยเหลือเพื่อส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบ การรายใหม่
2. การยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการ I C T ไทยสู่ระดับสากล
3. การสร้างโอกาสทางการตลาดและโอกาสในการแข่งขันสำหรับผู้ประกอบ การไทย
4. การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมI CTทั้งภายในประเทศและจาก ต่างประเทศ
- ยุทธศาสตร์ที่ 6 : การใช้ I C T เพื่อสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการ แข่งขันอย่าง
ยั่งยืน - มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมภาคการผลิตของประเทศไทยให้เข้าถึงและสามารถ ใช้
ประโยชน์ จาก I C T เพื่อก้าวไปสู่การผลิตและการค้ากับการบริการมีมาตรการ ที่สำคัญ
ประกอบด้วย
1. สร้างความตระหนักและพัฒนาขีดความสามารถด้าน I C T ของผู้ประกอบการ
2. เสริมสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
3. ส่งเสริมการนำ ICTมาใช้ในภาคการผลิตและบริการที่เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ
4. ยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ( s M E s )
และวิสาหกิจชุมชน
5. ส่งเสริมการนำ I C T มาใช้ในมาตรการการประหยัดพลังงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มขีด
ความสามารถในการแข่งขันทั้งในระดับองค์กรและประเทศอย่างยั่งยืน
..........................................................................................
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ข้อสอบนวัตกรรมและสารสนเทศข้อ 3
3.ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการใช้กระบวนการทางกฎหมาย ( กฎหมายว่าด้วยการกระทำ
ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ) เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรม ในสังคมจาก
การใช้คอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด จง
อภิปราย ถึงประเด็นที่ เกี่ยวข้องให้เป็นรูปธรรม
ตอบ เห็นด้วยกับการใช้กระบวนการทางกฎหมาย(กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิด
เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมในสังคมจากการใช้คอม-
พิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด เพราะเราจะพบว่า
ในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้เข้ามามี
บทบาท และทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นตามลำดับ ต่อระบบเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของ
ประชาชนในประเทศไทย แต่ในขณะเดียวกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็
มีแนวโน้มขยายวงกว้างและทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยขอสรุป ประเด็นต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายฉบับนี้เป็นด้าน ๆ ดังนี้
1. ความผิดสำหรับแฮกเกอร์ สรุปได้ดังนี้
1.1 ) เข้าเว็บสาธารณะย่อมไม่มีความผิด แต่ผู้ที่เจาะระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่
สร้างระบบป้องกันไว้มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท แต่ถ้า
เจาะเข้าไปถึงข้อมูลที่เก็บรักษาไว้ด้วยโทษจะเพิ่มเป็น 2 เท่า
1.2) ผู้ที่เผยรหัส ( password ) ที่ตัวเองรู้มาสำหรับเพื่อใช้เข้าระบบคอม-
พิวเตอร์มีโทษ จำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท
1.3 ) ผู้ที่ดักจับข้อมูลที่เป็นส่วนตัวซึ่งส่งถึงกันทางอินเทอร์เน็ต ทาง e-mail มีโทษ
จำคุก ไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกิน 60,000 บาท
2. ความผิดสำหรับผู้ที่ปล่อยไวรัส
2.1) ผู้ที่ทำลายข้อมูลหรือไปเปลี่ยนข้อมูลของผู้อื่นไม่ว่าด้วยวิธีการใดจะใช้ ไวรัสหรือ
แอบ เข้าไปทำลายมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
2.2) การทำลายข้อมูลผู้อื่น ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนประเภทคอมพิวเตอร์
ควบคุม จราจรโทษสูงขึ้นเป็น จำคุก 10 ปี ปรับ 200,000 บาท ถ้ากระทบถึง
ความมั่นคงประเทศ โทษจะสูงขึ้นเป็นจำคุก 3 – 15 ปี ถ้าจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่
ความตาย โทษจะหนักถึงจำคุก 10 – 20 ปี
3. ความผิดของผู้ที่ก่อกวนหรือแกล้งผู้อื่น
3.1) ผู้ที่ส่งอีเมล์ก่อกวนหรือโฆษราขายสินค้าหรือขายบริการ ประเภทไปโผล่ pop
up หรือผู้ที่ส่งเมล์ขยะโดยที่ผู้รับไม่ต้องการมีโทษปรับอย่างเดียว ไม่เกิน 100,000
บาทโทษฐานก่อความรำคาญ
3.2) ผู้ที่ส่งเมล์เป็นข้อมูลปลอม ข้อมูลเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น เป็นข่าวลือปล่อยข่าวให้
เกิดความวุ่นวายรวมถึงส่งภาพลามกอนาจารทั้งหลายทั้งหลาย รวมถึง ผู้ที่ได้รับแล้วส่ง
ต่อด้วยมีโทษ เท่ากัน คือจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
3.3) ผู้ที่ตัดต่อภาพของผู้อื่นแล้วนำเข้าเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต ทำให้เจ้าของภาพ
เสียหาย อับอาย ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 600,000 บาท
4. ความผิดของผู้ให้บริการ ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้บริการ
อย่างน้อย 90 วัน เพื่อให้สามารถหาตัวผู้ใช้บริการสำหรับให้ตรวจสอบได้ มิฉะนั้น
ผู้ให้บริการจะต้องรับโทษ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท การกระทำความผิดตาม
กฎหมายนี้แม้จะกระทำในรอบราชอาณาจักรไม่ว่าคนไทยหรือคนต่างด้าว ถ้าเกิดความ
เสียหายไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศก็ต้อง รับโทษตามกฎหมายนี้ แต่ปัญหา
ที่ตามมาก็คือ การกระทำความผิดในระบบคอมพิวเตอร์ทางอินเตอร์ เน็ตนี้จะจับได้
อย่างไรในทางปฏิบัติ กฎหมายให้อำนาจเรียกข้อมูลจากผู้ให้บริการหรือเจ้าของเว็บ
ทั้งหลาย รวมทั้ง มีอำนาจที่จะเข้าไปติดตาม ตรวจสอบ คัดเลือก ในระบบคอมพิวเตอร์
ของใครก็ได้ ถ้ามีเหตุ อันควรเชื่อถือได้ว่ามีการกระทำความผิด แต่การใช้อำนาจเจาะ
เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ ของผู้อื่นตามกฎหมายฉบับนี้นั้น จะต้องขออนุญาตต่อศาล
เสียก่อนจะกระทำโดยพละการ ไม่ได้ หากเจ้าหน้าที่เปิดเผยข้อมูลที่ใช้อำนาจที่ไปเจาะ
ข้อมูลมาโดย ไม่มีอำนาจ เจ้าหน้าที่มีความผิดด้วย โดยต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
ปรับไม่เกิน 60,000 บาทและแม้ ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผยแต่ ด้วยความประมาททำ
ให้ข้อมูลหลุดเข้าระบบ อินเทอร์เน็ตก็ต้องรับโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน
20,000 บาท กฎหมายว่า ด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.
2550 เป็น กฎหมายที่ดีมีประโยชน์ เพราะทำให้ประเทศไทยได้ชื่อเสียงว่ามีกฎหมาย
ด้านกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกับอารยประเทศทั้งหลายช่วย
ป้องปรามให้เกิดกระทำความผิดเกี่ยวกับคอม- พิวเตอร์น้อยลงและช่วยให้สามารถ
ดำเนินการตามกฎหมายได้รวดเร็ว เป็นต้น อย่างไร ก็ตามเช่น เดียวกับกฎหมายฉบับ
อื่น ๆ ก็ต้องมีการปรับปรุง แก้ไขเป็นระยะ ๆ อาทิ ควรมี ข้อยกเว้นให้ส่ง เบาะแสการ
กระทำความผิดให้เจ้าหน้าที่ที่ผ่านอินเทอร์เน็ต ควรออก กฎหมายใหม่เกี่ยวกับคอม-
พิวเตอร์ ให้ครบถ้วนยิ่งขึ้นและควรปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่ ให้ครอบคลุม มากขึ้น เพื่อ
ประโยชน์ ของทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง
******************************************
ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ) เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรม ในสังคมจาก
การใช้คอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด จง
อภิปราย ถึงประเด็นที่ เกี่ยวข้องให้เป็นรูปธรรม
ตอบ เห็นด้วยกับการใช้กระบวนการทางกฎหมาย(กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิด
เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมในสังคมจากการใช้คอม-
พิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด เพราะเราจะพบว่า
ในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้เข้ามามี
บทบาท และทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นตามลำดับ ต่อระบบเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของ
ประชาชนในประเทศไทย แต่ในขณะเดียวกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็
มีแนวโน้มขยายวงกว้างและทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยขอสรุป ประเด็นต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายฉบับนี้เป็นด้าน ๆ ดังนี้
1. ความผิดสำหรับแฮกเกอร์ สรุปได้ดังนี้
1.1 ) เข้าเว็บสาธารณะย่อมไม่มีความผิด แต่ผู้ที่เจาะระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่
สร้างระบบป้องกันไว้มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท แต่ถ้า
เจาะเข้าไปถึงข้อมูลที่เก็บรักษาไว้ด้วยโทษจะเพิ่มเป็น 2 เท่า
1.2) ผู้ที่เผยรหัส ( password ) ที่ตัวเองรู้มาสำหรับเพื่อใช้เข้าระบบคอม-
พิวเตอร์มีโทษ จำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท
1.3 ) ผู้ที่ดักจับข้อมูลที่เป็นส่วนตัวซึ่งส่งถึงกันทางอินเทอร์เน็ต ทาง e-mail มีโทษ
จำคุก ไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกิน 60,000 บาท
2. ความผิดสำหรับผู้ที่ปล่อยไวรัส
2.1) ผู้ที่ทำลายข้อมูลหรือไปเปลี่ยนข้อมูลของผู้อื่นไม่ว่าด้วยวิธีการใดจะใช้ ไวรัสหรือ
แอบ เข้าไปทำลายมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
2.2) การทำลายข้อมูลผู้อื่น ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนประเภทคอมพิวเตอร์
ควบคุม จราจรโทษสูงขึ้นเป็น จำคุก 10 ปี ปรับ 200,000 บาท ถ้ากระทบถึง
ความมั่นคงประเทศ โทษจะสูงขึ้นเป็นจำคุก 3 – 15 ปี ถ้าจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่
ความตาย โทษจะหนักถึงจำคุก 10 – 20 ปี
3. ความผิดของผู้ที่ก่อกวนหรือแกล้งผู้อื่น
3.1) ผู้ที่ส่งอีเมล์ก่อกวนหรือโฆษราขายสินค้าหรือขายบริการ ประเภทไปโผล่ pop
up หรือผู้ที่ส่งเมล์ขยะโดยที่ผู้รับไม่ต้องการมีโทษปรับอย่างเดียว ไม่เกิน 100,000
บาทโทษฐานก่อความรำคาญ
3.2) ผู้ที่ส่งเมล์เป็นข้อมูลปลอม ข้อมูลเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น เป็นข่าวลือปล่อยข่าวให้
เกิดความวุ่นวายรวมถึงส่งภาพลามกอนาจารทั้งหลายทั้งหลาย รวมถึง ผู้ที่ได้รับแล้วส่ง
ต่อด้วยมีโทษ เท่ากัน คือจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
3.3) ผู้ที่ตัดต่อภาพของผู้อื่นแล้วนำเข้าเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต ทำให้เจ้าของภาพ
เสียหาย อับอาย ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 600,000 บาท
4. ความผิดของผู้ให้บริการ ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้บริการ
อย่างน้อย 90 วัน เพื่อให้สามารถหาตัวผู้ใช้บริการสำหรับให้ตรวจสอบได้ มิฉะนั้น
ผู้ให้บริการจะต้องรับโทษ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท การกระทำความผิดตาม
กฎหมายนี้แม้จะกระทำในรอบราชอาณาจักรไม่ว่าคนไทยหรือคนต่างด้าว ถ้าเกิดความ
เสียหายไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศก็ต้อง รับโทษตามกฎหมายนี้ แต่ปัญหา
ที่ตามมาก็คือ การกระทำความผิดในระบบคอมพิวเตอร์ทางอินเตอร์ เน็ตนี้จะจับได้
อย่างไรในทางปฏิบัติ กฎหมายให้อำนาจเรียกข้อมูลจากผู้ให้บริการหรือเจ้าของเว็บ
ทั้งหลาย รวมทั้ง มีอำนาจที่จะเข้าไปติดตาม ตรวจสอบ คัดเลือก ในระบบคอมพิวเตอร์
ของใครก็ได้ ถ้ามีเหตุ อันควรเชื่อถือได้ว่ามีการกระทำความผิด แต่การใช้อำนาจเจาะ
เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ ของผู้อื่นตามกฎหมายฉบับนี้นั้น จะต้องขออนุญาตต่อศาล
เสียก่อนจะกระทำโดยพละการ ไม่ได้ หากเจ้าหน้าที่เปิดเผยข้อมูลที่ใช้อำนาจที่ไปเจาะ
ข้อมูลมาโดย ไม่มีอำนาจ เจ้าหน้าที่มีความผิดด้วย โดยต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
ปรับไม่เกิน 60,000 บาทและแม้ ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผยแต่ ด้วยความประมาททำ
ให้ข้อมูลหลุดเข้าระบบ อินเทอร์เน็ตก็ต้องรับโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน
20,000 บาท กฎหมายว่า ด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.
2550 เป็น กฎหมายที่ดีมีประโยชน์ เพราะทำให้ประเทศไทยได้ชื่อเสียงว่ามีกฎหมาย
ด้านกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกับอารยประเทศทั้งหลายช่วย
ป้องปรามให้เกิดกระทำความผิดเกี่ยวกับคอม- พิวเตอร์น้อยลงและช่วยให้สามารถ
ดำเนินการตามกฎหมายได้รวดเร็ว เป็นต้น อย่างไร ก็ตามเช่น เดียวกับกฎหมายฉบับ
อื่น ๆ ก็ต้องมีการปรับปรุง แก้ไขเป็นระยะ ๆ อาทิ ควรมี ข้อยกเว้นให้ส่ง เบาะแสการ
กระทำความผิดให้เจ้าหน้าที่ที่ผ่านอินเทอร์เน็ต ควรออก กฎหมายใหม่เกี่ยวกับคอม-
พิวเตอร์ ให้ครบถ้วนยิ่งขึ้นและควรปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่ ให้ครอบคลุม มากขึ้น เพื่อ
ประโยชน์ ของทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง
******************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)